กลายเป็นที่ถกเถียงในโลกออนไลน์ เมื่อมีการประกาศราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่กฎกระทรวงฉบับที่ 46 ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน ให้การพนัน 23 ชนิด เล่นได้ภายในกำหนดเวลา มีผลตั้งแต่ 11 ต.ค. 67 โดยส่วนใหญ่เป็นการละเล่นท้องถิ่น และมีกรอบเวลากำกับ ประชาชนบางส่วนมีความเข้าใจผิด นึกว่ามีการเปิดให้เล่นอย่างเสรี แต่จริงแล้วการพนันทุกชนิดจะต้องขออนุญาตและต้องได้รับใบอนุญาตก่อนเล่น
การเล่นพนันทั้ง 23 ชนิด ที่มีการประกาศ เป็นประเภท ข. ที่สามารถขออนุญาตเล่นได้เดิม เพียงแต่ประกาศใหม่มีการปรับเปลี่ยนเวลาให้เหมาะสม กฎหมายไทย ยังไม่อนุญาตให้เล่นพนันได้อย่างเสรี ซึ่งการจะเล่นพนันประเภท ข. ได้ต้องมีการขออนุญาตเท่านั้น
ประกาศกฎกระทรวงมหาดไทยฉบับใหม่ กำหนดช่วงเวลาที่อนุญาตให้มีการแข่งวัวลานใหม่ เท่านั้น และต้องขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมายก่อนเล่น รวมถึงการเล่นพนันอื่นๆ อีก 23 ชนิด บางชนิดก็ไม่อนุญาต เช่น ไพ่ป๊อก ไพ่รัมมี่ ฯลฯ บางชนิดอนุญาตได้ แต่ต้องมีเงื่อนไข เช่น ปาโป่ง ปาเป้า โยนห่วง สอยดาว สลากฯ อนุญาตให้เฉพาะงานกาชาด งานประจำปีจังหวัด เป็นต้น ดังนั้น การพนันทุกชนิดจะต้องขอนุญาตและตัองได้รับใบอนุญาตก่อนเล่น !! หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด!! การลักลอบเล่นการพนันดัมมี่ผิดกฎหมายข้อหาเล่นการพนันไพ่รัมมี่ พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาตลงโทษตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 จำคุกไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ว่าด้วยเรื่องการพนันผีร้าย
การพนันเริ่มเล่นกันมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์แล้วเมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล มีการเล่นลูกเต๋ากันในเมโสโปเตเมีย เชื่อกันว่าการเล่นสมัยนั้นใช้ลูกเต๋าเพื่อเป็นการเสี่ยงทาย มีการขุดพบลูกเต๋าที่มีลักษณะคล้ายกันกับลูกเต๋าปัจจุบันในประเทศจีนคาดว่ามีอายุราว 600 ปี ก่อนคริสตกาลและยังมีหลักฐานเก่าแก่ในมหาภารตะว่าลูกเต๋าถูกผลิตขึ้นในอินเดียไม่ต่ำกว่า 2,000 ปีก่อน
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์แสดงว่าประเทศจีนมีการเล่นการพนันมานานแล้วก่อนที่จะมีการเผยแพร่ไปยังประเทศอินเดียและประเทศตะวันตก เมื่อ 1,000 ปีก่อนคริสตกาลในประเทศจีนมีบ่อนการพนันการต่อสู้กันระหว่างสัตว์ เช่นการชนไก่ การชนเป็ด การชนปลา การเล่นลูกเต๋าและการเล่นไพ่ก็เริ่มมาจากประเทศจีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. 1161-1450)
การเล่นพนันในสังคมไทยไม่มีหลักฐานปรากฎว่าเริ่มในสมัยใด ว่ากันว่าน่าจะเกิดขึ้นในสมัยสุโขทัยที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอินเดียที่นำศาสนาพุทธมาเผยแพร่หรือประเทศจีนเมื่อครั้งเข้ามาติดต่อค้าขายกับไทย แต่เชื่อกันว่าการพนันของชาวจีนน่าจะมีอิทธิพลมากกว่าชาวอินเดีย
มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ระบุว่า ประมาณปี พ.ศ. 1450 มีการเล่นการพนันเรียกว่า กำถั่ว แล้ว และประมาณ พ.ศ. 2100 ในแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ สมัยอยุธยามีการเล่นการพนันเรียกว่า โป ด้วย
อย่างไรก็ตามแม้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์จะเลือนลางแต่ก็เป็นที่รับรู้กันว่าคนไทยนิยมเล่นการพนันเป็นอย่างมากดังบันทึกของเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส มองสิเออร์ เดอ ลา ลูแบร์ ที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยามสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในปี พ.ศ. 2230 ว่า " ชาวสยามอยู่ค่อนข้างรักเล่นการพนันเสียเหลือเกิน จนถึงจะยอมผลาญตัวเองให้ฉิบหายได้ ทั้งเสียอิสรภาพความชอบธรรมของตัวหรือลูกเต้าของตัวด้วย ในเมืองนี้ใครไม่มีเงินพอจะใช้เจ้าหนี้ได้ก็ต้องขายลูกเต้าของตัวเองลงใช้หนี้สิน และถ้าแม้ถึงเช่นนี้แล้วก็ยังมิพอเพียง ตัวของตัวเองก็ต้องกลายตกเป็นทาส "
ในสมัยอยุธยาตอนปลายระหว่างปี พ.ศ. 2231-2275 มีการเปิดบ่อนเบี้ย (สถานที่เล่นถั่วโป) ของชาวจีนโดยได้รับอนุญาตจากรัฐและรัฐเก็บภาษีจากการเล่นนี้แต่กำหนดเพียงบางพื้นที่ที่มีชาวจีนอาศัยอยู่และห้ามคนไทยเข้าไปเล่น ทว่าการห้ามดังกล่าวไม่เป็นผลเพราะคนไทยก็ลักลอบเล่นกัน รัฐจึงต้องอนุญาตให้ตั้งบ่อนของคนไทยขึ้น ส่วนการพนันอื่นที่นิยมเล่นกันได้แก่ กัดปลา ชนไก่ วิ่งวัว กำตัด และ ไพ่งา
แม้ว่ารัฐจะเก็บภาษีจากบ่อนได้มากน้อยเพียงใดก็ตามแต่ก็ไม่มีนโยบายสนับสนุนให้คนไทยเล่นการพนันเช่น ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศมีการห้ามข้าราชการเล่นการพนัน และหากข้าราขการผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษเฆี่ยนตี 90 ที พร้อมทั้งถอดยศ บรรดาศักดิ์ลงเป็นไพร่
ในสมัยกรุงธนบุรีซึ่งเป็นช่วงที่มีศึกสงครามเยอะมีการผ่อนปรนให้ทหาร แม่ทัพนายกองเล่นการพนันได้ตามสมควรเพื่อเป็นการผ่อนคลายรวมถึงอนุญาตให้คนทั่วไปเล่นการพนันได้ด้วย
ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ทรงไม่เห็นด้วยที่จะให้เล่นการพนันหรือเล่นเบี้ยแบบสมัยธนบุรีแต่ก็ยังยอมให้มีบ่อนเบี้ยอยู่บ้างโดยเก็บอากรบ่อนเบี้ย ในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้มีบ่อนเบี้ยแพร่หลายออกไปตามหัวเมืองต่าง ๆ มากขึ้นและสามารถเก็บอากรบ่อนเบี้ยได้มากถึงปีละ 260,000 บาท และเก็บต่อเนื่องมาจนถึงรัชกาลที่ 3 ซึ่งในสมัยนั้นมีการประมูลขอตั้งบ่อนเบี้ย รัฐจึงมีการเก็บอากรบ่อนเบี้ยและเก็บอากรหวยด้วยซึ่งอากรทั้งสองประเภททำให้รัฐมีรายได้เพิ่มมากขึ้นถึงปีละ 400,000 บาท
ในสมัยรัชกาลที่ 4 มีการปรับปรุงภาษีอากรหลายประเภทและกำหนดให้เพิ่มภาษีการพนันขึ้นทำให้รัฐสามารถเก็บภาษีการพนันได้สูงถึงปีละ 500,000 บาท
ภาพบรรยากาศการเล่นการพนันสมัยรัชกาลที่ 5
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ได้เสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่ 2 ไปยังเมืองมอนติคาร์โลไปทรงเห็นโทษมหันต์ของการพนันอย่างบ่อนเบี้ยพนัน ทำให้ประชาชนเกียจคร้าน เสียเงินทอง เสียเวลาทำมาหากิน ทั้งยังทำให้จิตใจตกต่ำ เสียทรัพย์ของตัวเองไม่พอ คนอื่นก็อาจจะเสียทรัพย์ด้วยเพราะมีการก่ออาชญากรรมเกิดขึ้น และทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงกรมพระยาดำรงราชานุภาพเมื่อปี พ.ศ. 2450 ว่า
" ได้เรียนตำราเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งเข้าใจ ข้อซึ่งเข้าใจว่าเล่นไม่น่าสนุกนั้น ไม่จริงเลย สนุกยิ่งกว่าอะไร ๆ หมด ถ้าชาวบางกอกได้เรียนรู้ไปเล่นแล้ว ฉิบหายไม่เหลือ ถ้าหากว่าไปถึงเมืองเราเข้าเมื่อไรจะรอช้าแต่สักวันเดียวก็ไม่ควร ต้องห้ามทันที... "
ดังนั้นจึงได้ทรงให้เลิกบ่อนการพนันในภาคใต้ทั้งหมดและจำกัดจำนวนบ่อนทั่วประเทศ จนมาถึงรัชกาลที่ 6 ทรงเห็นว่าการพนันเป็นโทษมากกว่าประโยชน์แม้จะได้เงินเข้าคลังมากแต่ก็มีคนหมดเนื้อหมดตัวมากมาย ได้ไม่คุ้มเสีย จึงได้มีการตั้งคลังออมสินขึ้นเพื่อปลูกฝังให้ประชาชนเริ่มออมเงินแทนการเล่นการพนันและเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2460 ก็ได้มีประกาศปิดบ่อนทั่วราชอาณาจักร
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 มีการออก พ.ร.บ. การพนัน พ.ศ. 2473 จุดประสงค์เพื่อควบคุมการเล่นและค่อยๆจำกัดให้ลดน้อยลง แต่แล้วก็มีการยกเลิก พ.ร.บ. ฉบับนั้นไป
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองรัฐบาลใหม่ได้ออกพ.ร.บ. การพนัน พ.ศ. 2478 เป็นกฎหมายฉบับแรกที่รัฐบาลริเริ่มให้มีบ่อนการพนันที่จัดการโดยรัฐเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ปี พ.ศ. 2481 ในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีการเปิดสถานกาสิโนถึง 5 แห่ง ที่หัวหิน ลพบุรี พิษณุโลก หนองคายและเบตง สร้างรายได้มากมายจนมีการขยายเพิ่มอีกเป็น 11 แห่งคือ หัวหิน เชียงราย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี ตราด สงขลา ภูเก็ต เบตงและสุไหงโกลก ซึ่งไม่ปรากฎรายละเอียดว่าดำเนินการอย่างไรบ้างเว้นแต่ที่หัวหินและสงขลา ท่านรัฐมนตรีการคลังสมัยนั้นคือ ปรีดี พนมยงค์ได้เดินทางไปเปิดด้วยตนเองทีเดียวแต่สุดท้ายสถานกาสิโนเหล่านี้ก็เงียบหายไปต่อมาในปี พ.ศ. 2488 เกิดเหตุภาวะเงินเฟ้อระหว่างสงคราม เศรษฐกิจย่ำแย่ รัฐบาลนายควง อภัยวงศ์จึงได้ปัดฝุ่น พ.ร.บ. การพนัน พ.ศ. 2478 ออกมาใช้และจัดตั้งกาสิโนขึ้นในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2488 สถานกาสิโนทำรายได้มหาศาลให้กับประเทศกว่า 24 ล้านบาท จนถึงวันที่ 9 มิถุนายน 2488 สุดท้ายบ่อนก็ต้องปิดตัวลงเพราะประชาชนเล่นการพนันจนหมดเนื้อหมดตัวบางรายถึงกับฆ่าตัวตาย
จากนั้นมาสถานกาสิโนถูกกฎหมายก็ปิดสนิท จนมาถึงปี พ.ศ. 2568 มีความพยายามของรัฐบาลปัจจุบันที่ต้องการเปิดกาสิโนถูกกฎหมายโดยอ้างเหตุผลต่างๆ เช่นเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว เพิ่มการจ้างงาน ท่ามกลางเสียงคัดค้าน ไม่เห็นด้วยของคนส่วนใหญ่ สถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็ต้องติดตามดูกันต่อไป